
เวทีเสวนา “Nabi Fellows” เปิดประเด็นใหญ่ที่ถูกมองข้ามมานานเกี่ยวกับขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติในศูนย์สแกมเมอร์ พร้อมตีแผ่บทบาทสำคัญของสื่อมวลชนในการเปิดโปงข้อเท็จจริงและหยุดการตีตราผู้รอดชีวิตจากอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาค

ภาพใหญ่การค้ามนุษย์ยุคใหม่: จากคอลเซนเตอร์สู่การบังคับก่ออาชญากรรม
คุณจารุวัฒน์ จิณมรรคา ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิอิมมานูเอล เผยข้อมูลจากงานช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ที่ถูกหลอกให้ทำงานในแก๊งสแกมตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยระบุว่ามูลนิธิเริ่มเฝ้าศึกษารูปแบบ Trafficking for Forced Criminality ตั้งแต่ปี 2561 ก่อนการช่วยเหลือจะเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างหลังปี 2564
เฉพาะปี 2568 มูลนิธิฯ ช่วยเหลือเหยื่อออกจากค่ายสแกมได้แล้วกว่า 767 ราย และพบผู้เสียชีวิตในค่ายอย่างน้อย 12 ศพ ภายในระยะเวลาเพียงสามเดือน—ส่วนใหญ่ถูกทำร้ายหรือสังหารเมื่อทำยอดไม่ได้ตามเป้า
รูปแบบการล่อลวงมักเริ่มจากโพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลด้วยชื่อตำแหน่งทั่วไป เช่น “แอดมิน”, “ตอบแชท”, “งานออนไลน์” ก่อนนัดผู้สมัครไปชายแดน และลักลอบพาข้ามแดน เมื่อถึงปลายทาง ผู้เสียหายจะถูกยึดเอกสาร บังคับสแกนใบหน้าเพื่อเปิดบัญชีม้า และถูกบังคับทำงาน Romance Scam, Hybrid Scam หรือ Call Center Scam ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด
จารุวัฒน์ระบุว่าเหยื่อไม่ได้จำกัดเพียงแรงงานรายได้น้อยอีกต่อไป แต่ลามไปถึงคนจบปริญญา ระดับปริญญาโท รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ ซึ่งถูกตั้ง “ค่าหัว” ซื้อขายระหว่างแก๊งตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท

เมื่อเหยื่อกลายเป็นผู้ต้องหา: วงจรซ้ำซ้อนของระบบยุติธรรม
งานเสวนายกตัวอย่างกรณีจริง 2 คดี ที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน
กรณีแรก เด็กสาววัยรุ่นจากอุดรธานี ถูกหลอกทำงานเสิร์ฟ แต่ลงเอยที่ปอยเปต ถูกบังคับให้ใช้บัญชีตัวเองในการฟอกเงิน ถูกทำร้ายจนหมดสติ ก่อนถูกนำไปทิ้งในไร่ชาวบ้าน มูลนิธิค้นพบและช่วยกลับไทย แต่เพียงหนึ่งเดือนหลังกลับบ้าน เธอกลับถูกจับในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” ทั้งที่หลักฐานชี้ชัดว่าเป็นเหยื่อ ปัจจุบันยังอยู่ในชั้นศาล
กรณีที่สอง ครอบครัวสามีภรรยาพร้อมลูกวัย 2 ขวบ ถูกหลอกไปทำงานครัวที่ปอยเปต ถูกกักขังร่วมกับคนไทยกว่า 30 คน ก่อนอาศัยจังหวะเผลอหลบหนีและติดต่อมูลนิธิฯ รับกลับประเทศ แม้ผ่านการคัดแยกโดยรัฐว่าเป็น “เหยื่อค้ามนุษย์” แต่ภายหลังยังถูกจับในข้อหาฉ้อโกงเช่นเดียวกัน
ทั้งสองกรณีสะท้อนปัญหา “Double Victimization”—เหยื่อถูกกระทำจากขบวนการ และถูกซ้ำเติมโดยกระบวนการยุติธรรมไทย ที่มักพิจารณาจาก “รูปแบบการเดินทาง” มากกว่า “บริบทของการถูกบังคับ”

มาตรฐานสากลชี้ชัด: การหลอกลวง + การบังคับ = การค้ามนุษย์
คุณอภิรดี เทียนทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ อธิบายกรอบพิธีสารปาแลร์โมซึ่งใช้จำแนกอาชญากรรมค้ามนุษย์ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ การกระทำ (Action) วิธีการ (Means) และวัตถุประสงค์ (Purpose) โดยกรณีเด็กต่ำกว่า 18 ปี ไม่จำเป็นต้องมี “วิธีการ” ก็ถือเป็นค้ามนุษย์ทันที
เวทียังระบุข้อมูลจาก OHCHR ว่า ปี 2568 มีผู้ถูกกักขังในศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมากว่า120,000 คน และในกัมพูชาอีก 100,000 คน โดยประเทศไทยกลายเป็น “เส้นทางผ่านสำคัญ” ของเหยื่อจากหลายทวีปที่ถูกล่อลวงด้วยงานบริษัทไอทีหรือคอลเซนเตอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Social Engineering: อาวุธใหม่ของอาชญากรข้ามชาติ
คุณวิภาพรรณ วงษ์สว่าง ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและสิทธิมนุษยชน ให้ข้อมูลว่าอาชญากรรมไซเบอร์ยุคหลังโควิดอาศัย “การเล่นกับความเชื่อใจและความกลัว” ทำให้เหยื่อจำนวนมากเดินทางด้วยความสมัครใจเพราะคิดว่าเป็นงานจริง แต่เมื่อถึงปลายทางกลับถูกกักขัง ใช้ความรุนแรง หรือถูกขายต่อในฐานะ “ทรัพย์สินของแก๊ง”
หนึ่งในกลไกสำคัญคือ ทำให้การรับสมัครและการเดินทาง “ดูปกติ” ตั้งแต่สนามบิน โรงแรม ไปจนถึงวันที่สองที่ถูกพาขึ้นรถออกนอกเมืองโดยไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปยังชายแดน
“สมัครใจเดินทาง ไม่ได้แปลว่า สมัครใจเป็นอาชญากร” คือประเด็นที่เวทีเน้นย้ำ

สื่อคือแนวหน้า: อำนาจในการลดการตีตราและปกป้องผู้รอดชีวิต
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สื่อมวลชนคือกลไกสำคัญในการเปลี่ยนความเข้าใจของสังคมเกี่ยวกับเหยื่อค้ามนุษย์ โดยควรยึดหลักดังนี้
- หลักไม่ลงโทษ (Non-punishment Principle): ผู้ถูกบังคับให้ทำผิดไม่ควรถูกดำเนินคดี
- หลักความยินยอมในการเผยแพร่ข้อมูล (Informed Consent)
- การคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะกรณีเด็ก
- การนำเสนออย่างไม่ตีตรา หลีกเลี่ยงคำถามเชิงโจมตี เช่น “ทำไมถึงโง่/โลภ”
พร้อมเสนอให้ใช้คำว่า “ผู้รอดชีวิต (Survivor)” แทน “เหยื่อ” เพื่อคืนศักดิ์ศรีและสะท้อนพลังในการผ่านเหตุการณ์เลวร้าย


บทสรุป
เวที “Nabi Fellows” ชี้ชัดว่า ปัญหาการค้ามนุษย์ในศูนย์สแกมเมอร์คืออาชญากรรมข้ามชาติที่ซับซ้อนกว่าที่สังคมรับรู้ และไทยกำลังอยู่ในจุดเปราะบางของเส้นทางการค้ามนุษย์โลก ขณะเดียวกัน ระบบยุติธรรมที่ยังไม่รองรับบริบทของเหยื่ออย่างแท้จริง ทำให้ผู้คนจำนวนมากถูกผลักจาก “เหยื่อ” สู่ “ผู้ต้องหา” อย่างไม่เป็นธรรม
บทบาทของสื่อจึงไม่ใช่เพียงการรายงาน แต่การยืนอยู่ข้างความจริง และช่วยให้สังคมมองเห็นมนุษย์ในเรื่องราวอันซับซ้อนนี้อย่างถูกต้อง
