
“ช่วงนี้เราจะเจอทั้งโรคมือเท้าปาก ไข้หวัดใหญ่ และโดยเฉพาะ RSV ในเด็กเล็ก ปีนี้ถือว่ามาแรงเลยค่ะ มีเคสหนัก ๆ หลายรายที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด” หมอปรมาภรณ์ ไทยเอื้อ กุมารแพทย์โรงพยาบาลนอร์ทอีสเทอร์วัฒนาอุดร เริ่มต้นบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดถึงโรคที่มักระบาดในช่วง ฝนต่อหนาว แบบนี้ ซึ่งปีนี้ถือว่ามาแรงเป็นพิเศษ

RSV คืออะไร ทำไมถึงน่ากังวล?
RSV ย่อมาจาก Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ จริง ๆ แล้ว คนทุกวัยสามารถติดเชื้อตัวนี้ได้ ตั้งแต่ทารกแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่กลุ่มที่มักได้รับผลกระทบรุนแรง คือ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เด็กเล็ก ๆ ยังไม่เคยมีภูมิคุ้มกันมาก่อนค่ะ เกิดมาก็ไม่มีภูมิเลย
เพราะฉะนั้น 90% ของเด็กในวัยนี้มักเคยติดเชื้อ RSV อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ข่าวดีคือ RSV ไม่ได้ทำให้ทุกคนอาการหนัก เด็กบางคนอาจมีอาการเพียงไอ จาม มีน้ำมูกนิดหน่อย คล้ายหวัดทั่วไป 2–3 วันก็หาย แต่ก็มีบางส่วน ราว 1 ใน 3 ของผู้ติดเชื้อ ที่อาจลุกลามลงสู่ทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หลอดลมอักเสบ ถุงลมฝอยอักเสบ หรือแม้กระทั่งปอดอักเสบ ซึ่งในบางรายอาจต้องเข้า ICU เพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจ
เชื้อ RSV แพร่ได้อย่างไร?
หลายคนยังเข้าใจผิดว่า RSV “มากับฝน” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ มันไม่ได้มากับเม็ดฝน หรือการที่ลูกไปตากฝนแล้วติดเชื้อหรอกนะคะ ส่วนใหญ่ติดจากการไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย หรือการสัมผัสของเล่นที่มีเชื้อค่ะ เมื่อเด็กคนหนึ่งป่วย มือที่เปื้อนน้ำมูกหรือสารคัดหลั่งไปจับของเล่น ลูกบิด หรือโต๊ะเรียน เด็กอีกคนมาเล่นต่อ แล้วเอามือแตะหน้าแตะจมูก ก็รับเชื้อไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นพอถึงช่วงที่โรคระบาดในโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก จึงมักลามเร็วมาก
อาการที่พ่อแม่ควรสังเกต
RSV ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ “หวัดธรรมดา” ไปจนถึง “โรคปอดอักเสบ” สัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ ไอมาก มีเสมหะเหนียว หายใจเร็ว หอบ หรือมีเสียงวี๊ด ๆ ซึม กินนมน้อย หรือไม่ดื่มน้ำ ตัวเขียว ปีกจมูกบานเวลาหายใจหากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพาเด็กมาพบแพทย์ทันที เพราะอาจต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้ออกซิเจนและดูแลใกล้ชิด
รักษาอย่างไร?
โรค RSV ยัง ไม่มียาฆ่าเชื้อเฉพาะ การรักษาจะเป็นการดูแลตามอาการ เช่น ลดไข้ ดูแลให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ และช่วยให้ทางเดินหายใจโล่ง สิ่งที่หมอเน้นเสมอคือ ต้องระวังไม่ให้เด็กขาดน้ำค่ะ เพราะถ้าเสมหะเยอะแล้วน้ำในร่างกายน้อย เสมหะจะเหนียวมาก ทำให้หายใจลำบาก เด็กส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายใน 1–2 สัปดาห์ แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี หรือมีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด หรือคลอดก่อนกำหนด ด้านวิธีป้องกันง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง หมอปรมาภรณ์ย้ำว่า “ป้องกันไว้ดีกว่ารักษา”โดยเฉพาะในช่วงที่ RSV ระบาดมาก หากลูกป่วย อย่าให้ไปโรงเรียน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ สอนให้เด็ก ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้า จมูก ปาก ผู้ใหญ่ที่มีอาการหวัด ควร ใส่หน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ใกล้เด็กเล็ก หมั่นทำความสะอาดของเล่น ลูกบิด และพื้นผิวที่เด็กสัมผัสบ่อย หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในที่แออัดช่วงโรคระบาด

ท้ายสุด คุณหมอฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ “ไม่อยากให้กลัวจนตระหนกนะคะ อยากให้รู้ว่า RSV เป็นโรคที่มาเป็นฤดูกาล ส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อย แต่เราต้องรู้เท่าทันและดูแลลูกอย่างถูกวิธีค่ะ

