เพราะอะไร การ์ตูนฝรั่ง ถึงได้จับจิตจับใจ เวลาดู ร้องหั้ยยยย

น้ำตาเราคือเป้าหมายอันสูงสุด!

เคยตั้งคำถามกันมั๊ย เวลาที่เราดูการ์ตูนฝรั่ง ทำไมมันถึงได้รู้สึกจับจิตจับใจ

ทั้งที่ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง ต่างกับคนที่รู้จักกันมาหลายสิบปีก็ทำให้เราประทับใจไม่ได้

ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องสมมุติ ที่เราได้ดูกันนั้น จะเรียกอารมณ์จริงๆ ของเราออกมาได้ดีไม่แพ้เรื่องจริง

บางทีปลุกแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง นี่เป็นอานุภาพของหนังที่ต้องแอบขำเล็กๆ ว่าเราเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองเพราะหนังการ์ตูนหรือนี่???

แน่นอนว่าแต่ละวิชาชีพก็มี “เคล็ดลับ” / “คัมภีร์” / “กุญแจแห่งความสำเร็จ” ซึ่งคงไม่ได้รู้ง่ายๆ แต่สำหรับการทำงานของค่ายภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่อย่าง “ดิสนีย์” และ “พิกซาร์” ไม่ได้เป็นความลับ

เราเรียบเรียงตัวอย่างการทำงาน กว่าจะเป็น “การ์ตูนหนึ่งเรื่อง” ให้ทุกคนได้อ่าน ถ้าอ่านจนจบเราจะได้รู้ว่า ทำไมการ์ตูนฝรั่งถึงได้เข้าไปนั่งในจิตใจของเราอย่างรวดเร็ว

ตั้ง Main Plot ต้องมีปัญหา อุปสรรค ตัวละครต้องน่ารัก ให้ผู้ชมเอาใจด้วย อุปสรรคยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะวิธีการจะตรึงคนได้ตลอดสองชั่วโมง

“‘Coco’  ภาพยนตร์เรื่องที่ 19 ของ พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ นำเสนอ มิเกล เด็กชายผู้เรียนกีตาร์ด้วยตัวเองและใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้อง ผู้ใฝ่ฝันที่จะเป็นเหมือนไอดอลของเขา เออร์เนสโต้ เดอ ลา ครู นักดนตรีที่โด่งดังที่สุดใประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก แต่ครอบครัวของมิเกลแบนดนตรี เมื่อหลายปีก่อน ทวดของทวดเขาจำเป็นต้องแยกทางกัน เพราะเธออยากจะสร้างครอบครัวในซานตา เซซิเลีย แต่เขาไม่สามารถปล่อยวางความฝันของตัวเองได้ และทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลังเพื่อไล่ตามความฝันในการเป็นนักดนตรีของเขา ดังนั้น คำสั่งแบนดนตรีของคุณทวดมาม่า อิเมลด้า ที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น จึงเป็นสิ่งที่ถูกยึดถืออย่างเคร่งครัด ซึ่งทำให้มิเกลหดหู่เป็นอย่างยิ่ง

เขารู้สึกเหมือนว่าเขาต้องเลือกระหว่างความรักดนตรีและความรักครอบครัว เขาอยากจะแสดงความสามารถเขาให้ครอบครัวเขาได้เห็น เพื่อพิสูจน์ให้พวกเขารู้ว่าการสรรค์สร้างงานดนตรีเป็นเรื่องสวยงามและมีเกียรติ  แต่การกระทำที่หุนหันพลันแล่นของมิเกลส่งผลให้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ทำให้เขาถูกมองเห็นได้โดยผู้มาเยือนจากดินแดนคนตายในวันเทศกาลแห่งความตายเท่านั้น โลกคู่ขนานที่สีสันสดใสและมีชีวิตชีวานี้มีประชากรเป็นผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ลาจากดินแดนคนเป็นมาเนิ่นนานแล้ว รวมถึงบรรพบุรุษของมิเกลเอง ผู้จดจำเขาได้ในทันทีและเสนอตัวช่วยเหลือ ถ้าเพียงแต่เขาตกลงที่จะทิ้งดนตรีไปตลอดกาล  แต่มันไม่ใช่สิ่งที่มิเกลสามารถยอมรับได้! เขาก็เลยร่วมมือกับโครงกระดูกจอมเจ้าเล่ห์ที่ชื่อ เฮคเตอร์ และพวกเขาก็ออกเดินทางตามหาเออร์เนสโต้ เดอ ลา ครูซ ผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปริศนาเกี่ยวกับอดีตของครอบครัวที่น่าฉงนและไม่เกี่ยวข้องกับดนตรีครอบครัวนี้

ลงลึกด้านการหาข้อมูล

จากตัวอย่างเรื่องดังกล่าว พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ ได้สำรวจโลกต่างๆ มากมายในภาพยนตร์ของพวกเขา ตั้งแต่ปารีส ไปจนถึงเกรท แบร์เรียร์ รีฟ อวกาศไปจนถึงมอนสโทรโพลิส การค้นคว้าเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างโลกมหัศจรรย์ที่สมจริงเหล่านี้และตัวละครที่อาศัยอยู่ในโลกเหล่านั้น ไม่ว่ามันจะหมายถึงการแยกโครงสร้างของของเล่นคลาสสิกหรือการหาคำตอบว่าต้องใช้ลูกโป่งมากแค่ไหนถึงจะยกบ้านให้ลอยขึ้นจากพื้นได้

สำหรับ “Coco” ทีมผู้สร้างต้องการทำให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมที่จะเป็นแกนหลักให้กับเรื่องราวของพวกเขา พวกเขาได้ทำการค้นคว้าข้อมูลในหลายๆ ทิศทาง ตั้งแต่การหาที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาศิลปะ ภาพยนตร์และดนตรีเม็กซิกัน และการเดินทางทั่วเม็กซิโกเพื่อสัมผัสกับขนบธรรมเนียมต่างๆ พบผู้คนเม็กซิกันและไปดูด้วยตาตัวเองว่าตัวละครของพวกเขาจะใช้ชีวิตที่ไหน  หนังเรื่องนี้มี 2.1 ที่ปรึกษาทางวัฒนธรรม 2.2 ค้นคว้าถึงแหล่ง ใช้เวลาเกือบสามปี ตั้งแต่ปี 2011-2013

 

Develop Content ผ่านคอนเซปต์ที่น่าสนใจ

“Coco” มีเรื่องราวเกิดขึ้นในเม็กซิโก ในโลกคู่ขนานสองใบที่โดดเด่นแตกต่างกัน นั่นคือดินแดนคนเป็นและดินแดนคนตาย นักวาดภาพของพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ ได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งจากการเดินทางค้นคว้าข้อมูลของพวกเขา “เม็กซิโกเป็นความฝันของนักออกแบบครับ” ผู้ออกแบบงานสร้าง ฮาร์ลีย์ เจสซัพกล่าว “ผมรู้ว่าเราจะสามารถใช้สีสันและเท็กซ์เจอร์รุ่มรวยอย่างที่เราเห็นทุกหนทุกแห่งได้”

แต่นักออกแบบก็จะต้องสร้างโลกที่สมบูรณ์พร้อมสองใบ สำหรับเวลาส่วนใหญ่ของปี โลกทั้งสองใบจะดำรงแยกจากกัน แต่ก็เคียงข้างกัน และทุกปีจะมีหนึ่งวันที่โลกทั้งสองใบจะมารวมกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ “เทศกาลวันแห่งความตายเป็นเหมือนงานรวมญาติที่ข้ามเส้นแบ่งระหว่างคนเป็นกับคนตายครับ” ผู้กำกับลี อันคริชกล่าว “แต่มันไม่ใช่เรื่องของความเศร้าโศก มันเป็นการเฉลิมฉลอง มันเป็นเรื่องของการรำลึกถึงสมาชิกครอบครัวและคนที่รักที่จากไป และรักษาพวกเขาให้อยู่ใกล้ชิดครับ”

แม้ว่าโลกทั้งสองใบนี้จะถูกออกแบบให้ตรงข้ามกันและกัน ผู้กำกับร่วมและมือเขียนบท เอเดรียน โมลิน่าก็กล่าวว่า จริงๆ แล้ว พวกมันมีคุณลักษณะเด่นสำคัญๆ ที่เหมือนกัน “พวกมันเต็มไปด้วยสีสัน ดนตรีและความสุขครับ” เขากล่าว “ตัวละครพวกนี้ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ต่างก็มองโลกในแง่ดีและอุทิศตนให้กับครอบครัวของพวกเขาครับ”

ผู้อำนวยการสร้างดาร์ลา เค. แอนเดอร์สัน ชื่นชมผลงานของทีมงานในการสร้างประชากรสำหรับโลกทั้งสองใบนี้มานานแล้ว “ระหว่างกระบวนการ ตัวละครเหล่านี้ก็โลดแล่นมีชีวิตขึ้นมาสำหรับฉัน” เธอกล่าว “พวกเขาโดเด่นและเต็มไปด้วยลักษณะเฉพาะ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ตกหลุมรักพวกเขา เราตั้งใจจะสร้างตัวละครที่สมจริง น่าเห็นอกเห็นใจ เหนือกว่าและน่าสนใจ พวกเขาเป็นตัวละครที่ยิ่งใหญ่ คือสมจริง แต่ก็วิเศษสุดน่ะค่ะ”

หนังสื่อสารผ่านแนวคิด  “สิ่งที่ตรงข้ามจะดึงดูดกัน” และคอนเซปต์ ดินแดนคนเป็น-ดินแดนคนตาย

คาแรคเตอร์ชัด และต้องมีส่วนส่งเสริมซึ่งกันและกัน 

ตัวละครในดินแดนคนเป็นส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจจากผู้คนที่ทีมผู้สร้างได้พบระหว่างการเดินทาง “มิเกลถูกห้อมล้อมไปด้วยสมาชิกครอบครัว” แดเนียล อาร์เรียก้า ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละครกล่าว “เขามีป้า ลุง ลูกพี่ลูกน้อง คุณยาย คุณทวด เราก็เลยคำนึงถึงเรื่องนั้นตอนออกแบบตัวละครเพื่อช่วยให้ผู้ชมจดจำได้ทำทีว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันครับ”

มิเกล เป็นเด็กชายวัย 12 ปี ผู้ดิ้นรนอยู่กับคำสั่งแบนดนตรีที่สืบต่อมาหลายชั่วอายุคนของครอบครัวเขา “มิเกลแอบบ่มเพาะความรักในดนตรีขึ้นมาลับๆ ครับ” ผู้กำกับลี อันคริชกล่าว “เขาได้สร้างกีตาร์ขึ้นมาและออกแบบมันให้เหมือนกับกีตาร์หัวกะโหลกคู่ใจของเออร์เนสโต้ และเขาก็ฝึกเล่นกีตาร์ด้วยตัวเองครับ”

แอนโธนี กอนซาเลซ พากย์เสียง มิเกล “แอนโธนีเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริงค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างดาร์ลา เค. แอนเดอร์สัน “เขาเล่นดนตรีวงมาตั้งแต่ 4 ขวบ เขาก็เลยเข้าใจความรักที่มิเกลมีต่อดนตรีและความปรารถนาที่จะขึ้นแสดงของเขาจริงๆ ค่ะ”

มาม่า โคโค่ คุณทวดที่มิเกลรักใคร่เทิดทูน แก่ชราและเปราะบางมากแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หยุดยั้งมิเกลจากการแบ่งปันเรื่องราวการผจญภัยในแต่ละวันของเขากับเธอ อันคริชกล่าวว่า ทีมผู้สร้างประทับใจกับครอบครัวเม็กซิกันที่พวกเขาไปเยือน ซึ่งคนหลายรุ่นใช้ชีวิตอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน “เด็กทารกอยู่บ้านกับคุณทวดของพวกเขา” อันคริชกล่าว “เราอยากจะนำเสนอเรื่องนั้น แม้ว่าความทรงจำของเธอเองจะเริ่มเลือนหายไป มาม่า โคโค่ก็จะถูกห้อมล้อมด้วยคนที่รักเธอเสมอครับ”

มาม่า โคโค่ ผู้ที่ทีมผู้สร้างกะประมาณเอาไว้ว่าอายุประมาณ 97 ปี จะต้องดูแก่สมอายุ ด้วยความที่คนหลายรุ่นอาศัยอยู่ในอาณาเขตพื้นที่ของครอบครัวริเวร่า นักวาดภาพและช่างเทคนิคจะต้องหาวิธีที่จะแยกมาม่า โคโค่จากอาบูลิต้า ลูกสาวของเธอและคุณยายของมิเกลได้อย่างชัดเจน แต่คุณทวดผู้นี้ก็เผยรอยเหี่ยวย่นอย่างภาคภูมิใจ “รายละเอียดทั้งหมดบนบหน้าของเธอไม่ได้มีต้นแบบจริงๆ หรอกครับ” คริสเตียน ฮอฟแมน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละคร ผู้ซึ่งทีมงานใช้ซอฟท์แวร์พิเศษในการออกแบบเลเยอร์รายละเอียดที่จะถูกเพิ่มเติมเข้าไปบนใบหน้าของมาม่า โคโค่ผ่านทางเครื่องมือลงเงา กล่าว

อาร์เรียก้ากล่าวว่า อายุของมาม่า โคโค่ยังแสดงให้เห็นในการเคลื่อนไหว หรือการไม่เคลื่อนไหวของเธอด้วย “เธอเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า และจะไม่มองคนที่เธอพูดด้วยหรือคนที่พูดกับเธอตรงๆ เราทำให้เสื้อผ้าของเธอเรียบร้อยมากขึ้น เธอสวมผ้ากันเปื้อนทับชุดเดรสและสวมรองเท้าแตะครับ”

อนา โอฟีเลีย มาร์เกีย พากย์เสียง มาม่า โคโค่ ด้วยผลงานภาพยนตร์ตลอดกว่า 50 ปี เธอก็เป็นนักแสดงหญิงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสมบัติแห่งชาติของเม็กซิโก “เธอเป็นตัวแทนของความแสบซ่าส์ของเพศหญิงค่ะ” แอนเดอร์สันกล่าว “เธอเป็นเหมือนแคทเธอรีน เฮพเบิร์นแห่งเม็กซิโกค่ะ”

อาบูลิต้าเป็นคุณยายของมิเกลและเป็นผู้บังคับใช้กฎสูงสุดของครอบครัวริเวร่า เธอรักครอบครัวของเธออมากและจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกเขา แต่ถ้าเธอโกรธขึ้นมาล่ะก็ เธอก็จะใช้รองเท้าแตะพิฆาตเป็นอาวุธ “อาบูลิต้าเป็นผู้นำในเรื่องกฎครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับดนตรี” อันคริชกล่าว “เธออาจเป็นคนอบอุ่นและน่ารักในวินาทีหนึ่งก่อนที่จะเป็นคนปากจัดและเข้มงวดในวินาทีถัดไป นั่นเป็นสิ่งที่น่าสนุกเกี่ยวกับตัวเธอ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าคุณจะเจอกับอะไรครับ”

โมลิน่ามองเห็นแม่ของเขาในตัวละครตัวนี้เล็กน้อย “เธอน่ารักและเอาใจใส่ แต่เธอก็จะคอยดูแลคุณไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางครับ”

ครอบครัวริเวร่ายังมีสมาชิกเป็น ปาป้า คุณพ่อผู้คอยสนับสนุนมิเกล และหวังว่าซักวันหนึ่ง มิเกลจะเลือกธุรกิจทำรองเท้าของครอบครัวเหมือนกับเขา เพราะริเวร่าเป็นตระกูลทำรองเท้ามาหลายชั่วอายุคน

เจมี คามิล ได้รับการทาบทามให้พากย์เสียง ปาป้า “เช่นเดียวกับโปรเจ็กต์พิกซาร์อื่นๆ ‘Coco’ ก็มีข้อคิดที่งดงามและมีความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและอบอุ่นหัวใจกับครอบครัวและคุณค่าของครอบครัว” คามิลกล่าว “แต่สิ่งที่ผมรักจริงๆ เกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้คือการที่พวกเขาถ่ายทอดประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเทศกาลวันแห่งความตาย ซึ่งเป็นหนึ่งในการเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมเม็กซิกันได้อย่างตรงไปตรงมา เห็นได้ชัดเจนว่า ลี, เอเดรียน, ดาร์ลาและทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้ได้ทำการค้นคว้าอย่างลึกซึ้งและละเอียดละออเกี่ยวกับความหมายและความสำคัญของเทศกาลนี้ที่มีต่อวัฒนธรรมของเรา มันไม่ได้เป็นการล้อเลียน แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงเทศกาลวันแห่งความตายจจริงๆ ซึ่งจะทำให้เราทุกคนภูมิใจมากๆ ครับ”

ดันเต้ เป็นสุนัขพันธุ์โซโล หรือหรือโซโลอิตซ์คูอินทลี ซึ่งเป็นสุนัขประจำชาติของเม็กซิโก ดันเต้ ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวแทบจะไร้ขน มีปัญหาในเรื่องการเก็บลิ้นไว้ในปากเนื่องด้วยฟันที่หายไปบางซี่ แต่เขาก็เป็นคู่หูที่จงรักภักดีของมิเกลนะ “ดันเต้เป็นเพื่อนคู่ใจของมิเกล เป็นตัวละครตัวเดียวที่เขาเล่นดนตรีให้ฟัง” มือเขียนบทแมทธิว อัลดริชกล่าว

“เราได้เชิญสุนัขพันธุ์โซโลหลายตัวมาเยี่ยมสตูดิโอด้วย” อาร์เรียก้ากล่าว “เราสนุกมากกับการออกแบบดันเต้ เราทำให้มันมีผิวปุๆ ปะๆ มีหูขาดวิ่น ตาเหล่ และลิ้นของมันก็ห้อยออกมาตลอด”

ฮอฟแมนกล่าวว่า ลิ้นของดันเต้มีชีวิตของมันเอง “พอเราได้รู้ว่าลี [อันคริช] ต้องการการเคลื่อนไหวแบบนั้นจากดันเต้ เราก็รู้ว่าเราจะต้องทำอะไรพิเศษสุดสำหรับลิ้นของมัน เราเพิ่งสร้างกลไกสำหรับหนวดของแฮงค์ใน ‘Finding Dory’ และเราก็รู้สึกว่ามันน่าจะเพอร์เฟ็กต์สำหรับลิ้นของดันเต้ ซึ่งทั้งยาวและยืดหยุ่น กลไกของแฮงค์ทั้งแข็งแรงและทำให้อนิเมชันมีความยืดหยุ่นและสามารถควบคุมได้จริงๆ ครับ”

สุนัขสายพันธุ์นี้ ซึ่งมีหลักฐานว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 3,500 ปี ถูกตั้งชื่อตาม โซโลท เทพเจ้าแอซเท็ค และอิทซ์คูอินทลี ซึ่งเป็นภาษาแอซเท็คแปลว่าสุนัข มีการเล่าขานกันว่าสุนัขพันธุ์โซโล ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากวิญญาณและผู้รุกรานชั่วร้าย มีพลังในการเยียวยา ไมค์ เวนทูรินี หัวหน้าอนิเมเตอร์กล่าวว่า “บางครั้ง สิ่งที่แปลกและพิลึกพิลั่นก็กลายเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ซึ่งผมคิดว่า ดันเต้ก็เป็นแบบนั้น เราพบโอกาสหลายครั้งในการแสดงให้เห็นถึงความแปลกประหลาดของดันเต้ และมันก็ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเสมอด้วย”

สัญลักษณ์ที่จะเป็นเอกลักษณ์ของเรื่อง

5.1 สะพานดอกดาวเรือง

ตอนที่ทีมผู้สร้างสร้างโลกทั้งสองใบใน “Coco” พวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาต้องเชื่อมต่อโลกทั้งสองใบด้วยวิธีที่มหัศจรรย์มากๆ การเดินทางค้นคว้าข้อมูลของพวกเขาได้จุดประกายบางสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นมา “ตอนที่เราได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเทศกาลวันแห่งความตายในเม็กซิโก” ผู้กำกับลี อันคริชกล่าว “เราได้เห็นทางเดินที่โรยด้วยกลีบดอกดาวเรือง ที่เริ่มต้นจากท้องถนนแล้วไปสิ้นสุดลงที่แท่นบูชา ที่มีภาพครอบครัว อาหารโปรดและของพิเศษ เราได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างทำไปเพื่อนำทางวิญญาณคนที่เรารักกลับบ้านครับ”

กลีบดอกดาวเรืองสร้างความประทับใจให้กับทีมผู้สร้างมากจนพวกเขาตัดสินใจสร้างสะพานขึ้นจากกลีบดอกสีส้มสดใสนั่น “มันทั้งสง่างามและมหัศจรรย์ครับ” ผู้ออกแบบงานสร้างฮาร์ลีย์ เจสซัพกล่าว “รูปทรงของมันทำให้นึกถึงอ่างเก็บน้ำโบราณที่เราได้เห็นในเม็กซิโก และสีส้มสดใสของมันก็เป็นสัญลักษณ์ความผูกพันกับครอบครัวด้วย”

 

5.2 ดินแดนคนตาย

สำหรับดินแดนคนเป็นและซานตา เซซิเลีย ทีมผู้สร้างสามารถหาแรงบันดาลใจได้จากเมืองที่มีชีวิตชีวาที่พวกเขาไปเยือนในเม็กซิโก แต่เมื่อถึงเวลาสร้างดินแดนคนตายแล้ว กฎต่างๆ ถูกปล่อยวางมากขึ้น “ผมไม่อยากจะได้โลกที่พิลึกพิลั่นแบบเสรี” ผู้กำกับลี อันคริชกล่าว “มันจะต้องมีเหตุผลอยู่บ้าง เราตระหนักว่ามันจะต้องขยายตัวออกเสมอเพราะถ้าคุณคิดดูดีๆ ก็จะมีประชากรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอยู่เป็นประจำนี่ครับ เราก็เลยถามตัวเองว่า ‘โลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจะมีหน้าตาเป็นยังไง’ น่ะครับ”

ทีมผู้สร้างมองไปที่ประวัติศาสตร์โบราณของเม็กซิโก ซิตี้ เมืองนี้เดิมทีสร้างอยู่บนพื้นที่เมืองเตนอชตีตลันของแอซเท็ค ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยน้ำ แม้ว่าน้ำนั้นจะหายไปเกือบหมดแล้ว นักวาดภาพก็ยังมองว่ามันเป็นไอเดียที่มีเสน่ห์ เมืองที่ผุดขึ้นมาจากน้ำจริงๆ “มันนำไปสู่ไอเดียของหอคอยครับ” อันคริชกล่าว “เหมือนกับปะการังที่งอกงามขึ้นมา และนำเสนอเลเยอร์ประวัติศาสตร์ชั้นแล้วชั้นเล่าครับ”

 ดนตรีประกอบที่ติดตรึงใจ

“Coco” นำเสนอดนตรีประกอบดั้งเดิมจากฝีมือนักประพันธ์ ไมเคิล จิอัคคิโน ผู้แต่งดนตรีประกอบที่ได้รับรางวัลออสการ์สำหรับภาพยนตร์ดิสนีย์/พิกซาร์ปี 2009 เรื่อง “Up” ตัวนักประพันธ์เพลงกล่าวว่าเขาเลือกโปรเจ็กต์ของเขาตามปฏิกิริยาแรกที่เขามีต่อเรื่องราวนั้นๆ “ผมอยากจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมสามารถแปลงให้เป็นดนตรีได้” จิอัคคิโนกล่าว “ตอนที่ผมได้ดู ‘Coco’ อารมณ์หลากหลายก็ปะทุขึ้นมาในตัวผม มันทำให้ผมนึกถึงครอบครัวและความผูกพันระหว่างผมกับญาติๆ ในอิตาลี หนังเรื่องนี้เข้าถึงทุกคนครับ”

ความสัมพันธ์ระหว่างจิอัคคิโนและดนตรีเวิลด์มิวสิคเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยเด็กที่เขาได้ฟังแผ่นเสียงในห้องใต้ดินของครอบครัว “ตอนผมอายุได้ 9 ขวบ ผมเจออัลบัมเพลงเม็กซิโก” เขากล่าว “ผมฟังมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมชอบมันเพราะทำนองและเนื้อร้องของมัน มันเต็มไปด้วยอารมณ์ เหมือนฟังบทกวีเลยครับ”

นอกจากนั้น “Coco” ยังนำเสนอเพลงเม็กซิกันดั้งเดิมในฐานะดนตรีต้นกำเนิด เพื่อเนรมิตชีวิตให้กับเมืองซานตา เซซิเลียของมิเกลด้วย “แม้ว่าบ้านของเขาจะห้ามไม่ให้มีดนตรี แต่มิเกลก็พบแรงบันดาลใจจากนักดนตรีที่แสดงในจัตุรัสของเมืองเขาครับ” ผู้กำกับร่วมและมือเขียนบท เอเดรียน โมลิน่ากล่าว “ซานตา เซซิเลีย บ้านเกิดของซูเปอร์สตาร์ เออร์เนสโต้ เดอ ลา ครูซ เต็มไปด้วยดนตรี และมันก็เป็นแรงบันดาลใจให้มิเกลอยากจะเป็นนักดนตรีครับ”

สรรหาทีมนักพากย์
แอนโธนี กอนซาเลส (พากย์เสียง มิเกล) ได้แสดงต่อหน้าสาธารณชนมาตั้งแต่อายุน้อยๆ เขาร่วมกับพี่สาวและพี่ชายร้องเพลงทุกวันอาทิตย์ที่ลา พลาซิต้า ออลเวลราในย่านดาวน์ทาวน์ลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับอิทธิพลจากสเปนและตำนานพื้นถิ่น กอนซาเลซได้แสดงในสถานที่ใหญ่ๆ หลายแห่ง รวมถึงปิโก้ ริเวร่า สปอร์ตส์ อารีนาและพลาซา เม็กซิโกในเมืองลินวู้ด รัฐแคลิฟอร์เนีย
พออายุได้ 4 ขวบ กอนซาเลซก็เดินเข้าไปในอัลวาราโด้ เรย์ เอเจนซี เอเจนซีสัญชาติสเปนที่เก่าแก่ที่สุด และตะเบ็งเสียงเพลงออกมา และเขาก็ถูกจับเซ็นสัญญาทันที ผลงานละครเวทีและจอแก้วของเขารวมถึง “Criminal Minds,” “The Bridge,” “Ice Box” และ “Mojada: A Medea in Los Angeles” ในโรงละครกลางแจ้งที่เก็ตตี้ วิลลา
ในฐานะนักร้อง กอนซาเลซได้ร้องเพลงให้กับรายการโทรทัศน์ยอดนิยมมากมาย รวมถึง “Sábado Gigante,” “The Voice,” “The X Factor” และ “Despierta América” ในทุกปี เขาอาสาร้องเพลงให้กับเทเลตัน ยูเอสเอ โครงการจากยูนิวิชันที่นำชาวลาตินอเมริกันมารวมตัวกันเพื่อพัฒนาชีวิตของเด็กที่กำลังป่วย
กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล (พากย์เสียง เฮคเตอร์) ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดีจากการแสดงใน “Mozart in the Jungle” ในปี 2016 นอกจากนั้น ซีรีส์เว็บของอเมซอนเรื่องนี้ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยมอีกด้วย ในปี 2017 เบอร์นัลได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดีจากการแสดงในซีซันสองของเขา ซีรีส์นี้กลับมาฉายซีซันที่สามในวันที่ 9 ธันวาคม ปี 2016 ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันที่สี่ของซีรีส์ดังกล่าว
เบนจามิน แบรตต์ (พากย์เสียง เออร์เนสโต้ เดอ ลา ครูซ) เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการ ผู้มีผลงานภาพยนตร์กว่า 25 เรื่อง รวมถึงภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “Piñero” ซึ่งทำให้เขาได้รับการยกย่องจากการแสดง “แจ้งเกิด” ที่โดดเด่นและติดตรึงใจในบทนักแสดง/นักเขียนบทละครเวที/นักกวี มิเกล ปิเนโร, ภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง “Traffic” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงห้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมและภาพยนตร์โดยนิโคล คัสเซลเรื่อง “The Woodsman” ประกบเควิน เบคอน
อลันนา โนแอล อูบัค (พากย์เสียง มาม่า อิเมลด้า) เกิดในเมืองดาวนีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศอเมริกา มีเชื้อสายเปอร์โตริโก้และเม็กซิกัน นักแสดงและนักพากย์หญิงผู้เปลี่ยนบทบาทได้ราวกิ้งก่าเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงใน “Meet the Fockers,” “Rango,” ภาพยนตร์รางวัลพีบอดี้ อวอร์ดเรื่อง “Men of a Certain Age,” “Hung,” “Legally Blonde,” “Waiting” และการแสดงบทโจ ฟรัมป์คิสในซีรีส์เรื่องแรกของบราโว ที่ปัจจุบันแพร่ภาพซีซันที่สามเรื่อง “Girlfriends’ Guide to Divorce”

เช่นนี้แล้ว  ข่าวการเปิดตัว 5 วันแรกได้อย่างยอดเยี่ยม สำหรับ Coco จาก Disney และ Pixar  ประสบความสำเร็จจากการเข้าฉายในช่วงสัปดาห์ Thanksgiving โดยได้รับคำชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วไป   ทำรายได้ 49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 3 วัน และ 71.2 ล้านเหรียญฯ จาก 5 วัน  คว้าแชมป์หนังรายได้สูงสุดประจำสัปดาห์ไปครอง  และได้รับเกรด “A+” จาก CinemaScore คงไม่แปลก